Thursday, June 14, 2012

แนะนำการ์ตูนในโครงการฉลาดรู้อยู่กับสื่อ


สัก 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา วนิดาได้รับหนังสือจากทางมูลนิธิเด็ก ที่ส่งมายัง Let's Comic (บ.ก.ซัน ส่งให้วนิดามาอีกต่อหนึ่งค่ะ) เป็นหนังสือหลายเล่ม ประกอบด้วย 
 1. หอมหัวใหญ่ ตอน "ขอตามเม้นท์ทุกชาติ ทุกชาติไป"
2. ครอบครัวจอมซ่า ท้าตะลุยวิทย์ ตอน ชีวิตวิบวับ
3. เก่งคิด เก่งวาด 2 เล่ม (พร้อมแบบฝึกฝนการ์ตูน)
4. การ์ตูนไทยเล่มละ 5 บาทจาก โครงการสื่อต้นแบบการ์ตูนไทยสร้างสุข ฉบับฉลาดรู้อยู่กับสื่อ
 
 
ข้อมูลสำหรับการติดต่อ
แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.)
15 ซอยอารีย์ 1 ถ.พหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
 
 
ในเซ็ตหนังสือเหล่านี้ ที่อยากแนะนำมาก เพราะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์สุดๆ ก็เห็นจะเป็นเหมือนการ์ตูนเล่มละ 5 บาท การ์ตูนที่ในสมัยก่อนอยู่คู่คนทั่วทุกหย่อมหญ้า ในปัจจุบันหาการ์ตูนแบบนี้ค่อนข้างยากแล้ว
 
สื่อ , ในความหมายของโครงการ คือ สื่อการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เช่น ชวนให้เชื่อว่า ใช้ยาชนิดนี้แล้ว จะผอม เครื่องสำอางค์ชนิดนี้ใช้แล้วจะสวยไม่มีผลข้างเคียง หรือแม้แต่การโฆษณาที่ใช้วิธีลด แลก แจก แถม เพื่อให้คนซื้อผลิตภัณฑ์ไปในจำนวนมาก
 
นักเขียนที่ผลิตการ์ตูนในโครงการฯ ฉลาดรู้อยู่กับสื่อนี้ จับเอาเรื่องใกล้ตัว เช่น การลดน้ำหนัก , การใช้บัตรเครดิต , การดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังเพื่อแลกของแจก ฯลฯ บางครั้งการใช้เวลาอ่านรายละเอียด หรือดูโฆณาอย่างละเอียดเพื่อเราจะได้ประโยชน์สูงสุดจากสิ่งของ อาหาร เสื้อผ้า หรืออะไรก็ตามแต่โดยเราเป็นผู้ใช้ ก็น่าจะดีกว่า เห็นโฆษณาเพียงครั้ง ก็เชื่อจนหมดใจ สุดท้ายก็ต้องเสียน้ำตาค่ะ
 
มาลองดูการ์ตูนกันบ้าง ที่ยกมาเป็นตัวอย่างมีดังนี้ค่ะ 
คุณเรืองศักดิ์ ดวงพลา ในเรื่อง สวยเลือกได้ ลายเส้นน่ารัก พูดถึงการสวย แบบยารักษา หรือสวยแบบธรรมชาติสมวัย อย่างไหนดีกว่ากันค่ะ
 
 
 คุณสละ นาคบำรุง ในเรื่อง นังอ้วนครวญคราง ชื่อเรื่อง และ ลายเส้นน่ารักน่าหยิกมากๆค่ะ อยากลดอ้วนนน ทำยังไงดี อ๋อกินยาลดความอ้วนดีกว่า สุดท้ายก็เลยต้องนอนกุมท้องร้องครวญครางค่ะ
  

 คุณสมชาย ปานประชา ในเรื่อง ศึกจอมมาร เข้าใจเปรียบเทียบโฆษณาชวนเชื่อเป็นจอมมาร จอมมารพูดอะไร แนะนำอะไร ก็เชื่อ เห็นดีเห็นงาม จนทำลายเหล่าเทพ หรือธรรมชาติ จนหมดไป
 
 
 และตัวอย่างสุดท้าย ผลงานของ @wesong  พี่เส่ง ทรงวิทย์ สี่กิติกุล เซเลบแห่ง EXTEEN นั่นเองค่ะ  มาในเรื่อง Snack Wars มหาสงครามข้างกระทะ พระเจ้าจะช่วยอะไร ระหว่าง กล้วยทอด อาหารว่างดั้งเดิมของไทย กับ เฟรนช์ฟรายด์ (มัน)ฝรั่งทอด อาหารว่างต่างชาติ ที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจคนวัยรีบร้อนทั่วทุกหัวระแหง ทั้งยังมีโฆษณาปลูกฝังเข้าไปอีก ..... แต่ดูเหมือน พระเจ้า ก็คงช่วยฝรั่ง อยู่แล้วมั้งนะ
  
  
วนิดา แก่นจันทร์
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่าน และติดตามกันค่ะ

Wednesday, May 30, 2012

ครั้งหนึ่ง...ลูกผู้ชาย


คำว่าลูกผู้ชาย ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ หมายถึง
ลูกผู้ชาย (น.) เรียกผู้ชายที่มีความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ และมีความรับผิดชอบ เป็นต้น
 
แต่สำหรับลูกผู้ชายในความหมายที่วนิดากล่าวไว้ในชื่อเรื่อง แปลตรงตัวเลยค่ะ 
 
ลูก = ลูกของพ่อ แม่ ผู้ปกครอง
ผู้ชาย = เป็นผู้ชาย 
 
นอกจากการประพฤติปฏิบัติดีแล้ว สิ่งที่พ่อและแม่หวังใจอยากให้ลูกชายทำเพียงอย่างเดียวคือ "บวช" 
 
"บวช" มาจากศัพท์ว่า ปะวะชะ แปลว่า งดเว้นจากกิจบ้านการเรือน มาบำเพ็ญเพียรทำกิจพระศาสนา สำหรับสามเณรเราเรียกการบวชนี้ว่า "บรรพชา" สำหรับพระภิกษุ เรียก "อุปสมบท"
 
ที่กล่าวถึงลูกผู้ชายและการบวชมาเสียยืดยาว ก็เพื่อปูพื้นว่า บัดนี้ ครอบครัวแก่นจันทร์ และญาติพี่น้อง ได้ปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง เมื่อลูกผู้ชายในครอบครัว คือ นายภาณุพันธุ์ แก่นจันทร์ ได้ละเว้นกิจบ้านการเรือน มาบำเพ็ญกิจศาสนา ด้วยเสียงขานนาคในพิธีบวชอันดังก้องกังวาล ทุกคนในบ้านยิ้มหน้าบาน และน้ำตาคลอเบ้า 5555
 
(กำหนดการ :  วันที่ 5/5/55 ปลงผม
วันที่ 6/5/55 ทำพิธีอุปสมบท) 
 
เอ็นทรี่นี้ไม่รู้จะบรรยายความปิตินั้นออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร นอกจากแปะรูป แปะคลิป ความปลื้มปิติในวันนั้น และเมื่อเช้าเพิ่งคุยกับแม่ บอกว่า พระน้องชายกำหนดสึกในวันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2555 รวมๆแล้ว บวชไป 1 เดือน 3 วันค่ะ
 
 
 
ว่าแต่การบวชมีได้อย่างไร?
ในอดีตหลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ตั้งจิตที่จะแสดงธรรมสั่งสอน พระองค์ได้ทรงสั่งสอนฤษีปัญจวัคคีย์ทั้งห้า และบุคคลอื่นๆแล้ว เมื่อผู้ฟังเหล่านี้เกิดศรัทธา ทูลขอบวช และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับด้วยพระวาจาว่า "มาเถิดพระภิกษุ ธรรมเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อพ้นทุกข์โดยชอบเถิด"1  เพียงเท่านี้ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าบวชเป็นภิกขุในพระพุทธศาสนา เราเรียกการบวชเช่นนี้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือการบวชโดยพระพุทธเจ้า ด้วยการเปล่งวาจาว่า " และเรียกผู้ที่รับการอุปสมบทแบบนี้ว่า "เอหิภิกขุ"
 
1 -- บางตำรา แปลว่า "ท่านจงเป็นภิกขุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ" เป็นต้น
 
หลังจากมีภิกขุในพระพุทธศาสนามากแล้ว พระพุทธเจ้าทรงส่งภิกขุทั้งหลายไปประกาศพระศาสนา เมื่อมีผู้ศรัทธาเอ่ยปากขอบวช หากต้องนำพามาบวชกับพระพุทธเจ้าทุกครั้งทุกคราไป จะเป็นการลำบาก ดังนั้นพระองค์จึงทรงอนุญาตให้ภิกขุ (พระสาวก) สามารถบวชกุลบุตรได้เอง ด้วยการเปล่งวาจาว่า "พุทธัง สรณังคัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ" (แปลว่า ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเ
จ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ) 3 หน เรียกการบวชเช่นนี้ว่า "ติสรณคมนูปสัมปทา" 
 
กาลเวลาผ่านไป เมื่อมีภิกขุในพระพุทธศาสนาตั้งมั่นดีแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมอบหมายการอุปสมบทนี้ให้เป็นกิจของสงฆ์ ประกอบด้วย หมู่พระสงฆ์ 5-10 รูป มีพระภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้นำเข้าหมู่ เราเรียกพระรูปนี้ว่าว่า "พระอุปัชฌาชย์" มีพระสงฆ์อีกรูปสวดประกาศ การบวชด้วยวิธีนี้เป็นการบวชที่ใช้กันในปัจจุบัน เราเรียกว่า "ญัตติจตุตถกรรมวาจา" 

การบวช มีอยู่ในทุกประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ แต่ส่วนประกอบในพิธี บทสวด หรืออื่นๆจะแตกต่างกันไปตามแต่นิกายที่นับถือค่ะ เช่นว่า หากนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน บทสวดบางบท ก็จะแตกต่างไปจากบทสวดของนิกายเถรวาท เป็นต้นค่ะ 
 
 
มาถึงช่วงที่สนุกทีุ่สุดของงานบวช คงหนีไม่พ้น "การแห่นาค" ของพระน้องชาย มีการแห่สองครั้งค่ะ ครั้งแรก แห่เพื่อไปขมาลาโทษญาติพี่น้อง ที่ไม่ได้ไปร่วมในงานปลงผม กับการแห่จากบ้านงาน ไปวัดที่จะทำพิธีบวชค่ะ 
 
ที่บอกว่าบ้านงาน ก็คือ ในการบวชนี้เราสามารถตั้งกองเครื่องบวชได้ทั้งที่วัด หรือที่บ้าน หากตั้งที่วัด ตอนเช้าก็เตรียมแห่รอบโบสถ์ได้เลย แต่ถ้าตั้งที่บ้าน ก็จะมีขบวนแห่นาค , เครื่องบวชต่างๆ โดยนำขบวนด้วยแตรวง หากในสมัยนี้ ก็คงเป็น วงดนตรีสตริง หรือไม่ก็วงกลองยาว ตามมาด้วยรถแห่ให้นาคนั่ง สมัยก่อนนั้นบางที่จะใช้ ม้า , วัว , หรือควายค่ะ ถ้าใช้ม้า ก็ตามธรรมเนียมเดิมที่เจ้าชายสิทธัตถะขี่ม้ามาปลงผม อะไรแบบนี้ (เรื่องประวัิติศาสตร์การบวช ไม่ีได้หาข้อมูลมาเยอะเลยค่ะ ห่างไกลมากๆๆ หากผิดพลาดตรงไหน ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ  ) 
 
ของบ้านวนิดา ที่บ้านชอบอะไรอลังการค่ะ เลยเล่นทั้งวงกลองยาว กับ วงสตริง
 
 
กลองยาว                        วงสตริง
 
 
ภาพบรรยากาศรวมๆค่ะ
 

 
 
 
 
 
สุดท้าย อยากบอกพระน้องชายว่า (มันไม่รู้หรอก เพราะไม่ได้บอกมันตรงๆ 5555 พี่สาวก็มีเขินบ้างอะไรบ้าง)
อยากบอกว่า เขาเป็นน้องชายที่เราภูมิใจ แม้จะเกเรบ้าง ดื้อด้านบ้าง แต่สุดท้ายเราก็เคารพเรา ด้วยใจจริง 
และเป็นเด็กดีของพ่อแม่ ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจเท่าไหร่ น่าจะ อะนะ 5555 
 
รักน้องมากๆๆ จากพี่สาวคนนี้
วนิดา แก่นจันทร์

Wednesday, April 18, 2012

Test App Blogger for iphone

ทดสอบอัพบล็อกผ่าน App ค่ะ

วันนี้ (18/4/2012) เดินทางไปสถานทูตพม่า ถนนปั้น สาทร มาค่ะ ตอนแรกหลงทางด้วย เพราะเข้าใจว่าอยู่ในซอยเดียวกับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ก็เดินๆเข้าไป หาสถานทูตเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แดดก็ร้อน จะเป็นลมค่ะ

แต่ในความร้อน ก็ยังมีความสวยของธรรมชาติ ผสมกับตึกสูงฝีมือมนุษย์ เป็นภาพที่ถ่ายตอนเดือนเข้าซอยโรงเรียนค่ะ
เบียดฟ้า ตามประสาในเมือง













หลังจากสอบถามรปภ. ก็หาทางเจอจนได้ ถนนปั้น อันเป็นถนนซอย ที่ตั้งสถานทูตนั้น อยู่ด้านฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลเซ็นหลุยส์เลยค่ะ พอเดินเข้าซอยไปปุ๊บ เจอสถานทูตปั๊บ โอ๊ย วนิดาไม่น่าโง่เลยคร้า Y_Y


ทีนี้ มาสายแล้วไงคะ (หลงทาง) ไปถึงสถานทูตเกือบ 10 โมงแล้ว ... และคนต่อแถวรับบัตรคิวกันตรึมมมม
คนมหาศาล












ยืนอยู่จากปลายแถวมาจนจะเข้าประตูแล้ว มีพี่ไทยคนหนึ่ง อารมณ์เป็นพี่แมสเซนเจอร์ เห็นรูปติดใบขอวีซ่าของวนิดา ไอ้เราก็เห็นละ ว่าเขามองรูป สักครู่ พี่แกถามว่า น้องๆ น้องคนไทยเปล่าอะ เราบอกใช่ค่ะ แกดูโล่งอกด้วย ก็คือ ถ้าเป็นคนไทย ไม่ต้องรับบัตร เข้าไปที่เคาน์เตอร์ 3 ได้เลย -_-" .., สงสัยหน้าเราจะพม่า O_o~

หน้าออกจะไทย O_o~













เมื่อเข้าไปด้านใน ความรู้สึกแรกแบบว่า นี่มันสถานทูต หรือสถานีขนส่งรถทัวร์กัน คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

Tuesday, April 17, 2012

ครั้งแรกกับทัวร์ศิลปวัฒนธรรม กับมติชนอคาเดมี่

ในวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2555 ที่ผ่าน ทางรายการพินิจนคร ได้ส่งวนิดาไปร่วมทัวร์ตามรอยพระนางเรือล่ม


ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือปิ่นเกล้า แล้วล่องเรือขึ้นไปทางทิศเหนือค่ะ ผ่านย่านจังหวัดนนทบุรี ที่นี่เราได้แวะขึ้นสักการะเจดีย์ ณ จุดเกิดเหตุ ซึ่งทำให้เรือพระประเทียบของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เกิดล่มนั่นเองค่ะ จุดหมายปลายทางของคณะทัวร์ หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน นั่นคือ พระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา สุดท้ายนั่งกระเช้าข้ามไปชมโบสถ์ ณ วัดนิเวศธรรมประวัติ ด้านนอกสวย ด้านในยิ่งสวยค่ะ

งานนี้ได้เพื่อนใหม่ด้วยละค่ะ ><




ชมภาพกันเลยค่ะ
ด้านขวาของภาพ : พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์
เป็นพระที่นั่งปราสาทโถงกลางสระน้ำ โดยจำลองแบบมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามว่า "พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์" ตามนามพระที่นั่งองค์แรก ซึ่งพระเจ้าปราสาททองทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ณ พระราชวังบางปะอินแห่งนี้ , ข้อมูลจากโบชัวร์ของพระราชวังบางปะอิน

พระที่นั่งวโรภาษพิมาน
ใช้เป็นที่ประทับ และมีท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
แอบกระซิบว่าด้านใน สวยงามมากกกกกกก ตกตะลึงมากๆเลยค่ะ ได้เข้าไปในท้องพระโรงด้วย ขนลุกซู่เลย รู้สึกว่าเราได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงด้วยเลยค่ะ ><




พระที่นั่งเวหาศจำรูญ
พระที่นั่งเก๋งจีน 2 ชั้น สร้างโดยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในประเทศไทย สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปีพ.ศ. 2432 ค่ะ มีชื่อภาษาจีนว่า "เทียนเหมงเต้ย"
ขอบอกว่า สวยงามมาก ถึงมากที่สุดเลยค่ะ เราได้เดินรอบๆชั้นสอง แต่ว่าไม่ได้เข้าไปด้านใน ไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดเลยค่ะ แล้วก็เขาห้ามถ่ายรูปด้วย แต่ขอบอกว่า ใครมีโอกาสได้ไป ไม่ผิดหวังเลยจริงๆค่ะ


อนุสาวรีย์ราชานุสรณ์
เป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกด้วยหินอ่อน แกะสลักพระรูปเหมือน พระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ , สมเด็จเจ้าฟ้าสิริราชกกุธภัณฑ์, สมเด็จเจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย และ สมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง


อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
อนุสาวรีย์หินอ่อน ที่ระลึกด้วยความอาลัย พร้อมทั้งจารึกคำไว้อาลัยที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เองไว้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ


ด้านนอกโบสถ์ วัดนิเวศธรรมประวัติ


หอวิฑูรทัศนา และ พระที่นั่งเวหาศจำรูญ


วนิดา เองค่ะ ด้านหลังเป็นหอวิฑูรทัศนา


นั่งเรือ เดินทางกลับ ง่วงๆ เพลียๆ แต่สนุกดีค่ะ

พบกันใหม่ทริปหน้านะคะ

Friday, August 15, 2008

แม่ของวนิดา



พ่อแม่ของของแต่ละครอบครัวก็คงมีนิสัยที่แตกต่างกันออกไป แม่ของบางท่านอาจเป็นคนไม่ฟังเหตุผลใคร ชอบบังคับจิตใจลูก หรืออาจเลี้ยงลูกด้วยเงิน แม้แม่ของบางท่านจะเป็นเช่นนั้น แต่เชื่อไว้เถอะว่า แม่ทำไปก็เพราะรัก และแม่มีเหตุผลของแม่เองที่ลูกๆมักไม่เข้าใจ
ไม่รู้ว่าแม่ของฉัน-นางสาววนิดา แก่นจันทร์- เหมือนกับแม่ของท่านอื่นๆไหม แต่แม่ก็คือแม่ แม่ที่เรียก ไมโล แมวรักสามัญประจำครอบครัวว่าลูกชาย พร้อมลดตำแหน่งให้ฉันกับน้องเสร็จสรรพ เป็นได้แค่ลูกเลี้ยง!!! ในทันที
มองดูแม่ตั้งแต่ฉันเกิด จำความได้ จนถึงอายุเท่านี้ แม่ยังเหมือนเดิม เหมือนเดิมยังไงมาดูกัน
- ลูกอยากได้อะไร แม้ตอนแรกแม่จะบอกว่า ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็หามาให้ลูกจนได้ แม้ต้องเป็นหนี้ (กรณีศึกษา ตอนฉันและน้องยังเป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน)
- ลูกอยากเรียนอะไร แม้แม่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ แม่ก็ “สุดๆไปเลยลูก” (กรณีศึกษา ตอนฉันและน้องเลือกคณะและมหาวิทยาลัย)
- ลูกอยากอ่านอะไร แม้แม่จะบอกว่า “การ์ตูน กับหนังสือ เลิกซื้อไปได้แล้ว” อยู่บ่อยๆ แต่สุดท้าย แม่นั่นแหละที่เป็นคนไปซื้อหนังสือ หรือการ์ตูนนั้นๆมาเก็บไว้ รอให้ลูกอ่าน (กรณีศึกษา แม่ซื้อนิตยสาร A day เก็บไว้ให้ฉัน ซื้อนิตยสารสำหรับคอมพิวเตอร์ เอาไว้ให้น้อง และแม่จำได้ว่านิตยสาร Pulp แต่ก่อนเป็นเล่มใหญ่)
- ลูกมีแฟนเป็นผู้หญิง แม่ชิลล์ๆ แถมยังบอกอีกว่า “มีแฟนเป็นผู้หญิงก็ดีนะ มีอะไรกันจะได้ไม่ท้อง” ตึก ตึก โป๊ะ!!! (กรณีศึกษา ตลอด 6 ปีที่ชีวิตฉันอยู่กับโรงเรียนสตรีล้วน และแว่บนึงตอนมีแฟนผู้หญิงสมัยเรียนมหา’ลัย)
- ลูกจะมีแฟนแม่ไม่ว่า (กรณีศึกษา ฉันมีแฟนแม่บอกอย่าท้อง และน้องชายมีแฟน แม่บอกอย่าไปทำผู้หญิงท้องนะ !?!?)
- ตอนมัธยม เคยลองมีความลับกับแม่ดูบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ปิดไม่มิดหรือแม่มีญาณวิเศษก็ไม่ทราบ แม่รู้ทุกเรื่องที่ฉันไม่ได้บอก แน่นอนแม่ก็ไม่เคยจ้างนักสืบที่ไหนมาเฝ้าดูฉันด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้เวลามีอะไร ก็เล่าให้แม่ฟังทุกครั้ง เรื่องเรียน เพื่อน หรือที่ทำงาน
- แม่รู้นิสัยของฉันทุกกระเบียดนิ้ว มองออกทะลุปรุโปร่งจนฉันตัวบางเฉียบ แม่บอกให้ฉันเลิกเอาแต่ใจ อย่าคิดมาก ทำตัวนิ่งๆไว้ และกำชับไว้อีกว่า “เอ็งเชื่อแม่แล้วจะดีเอง” ในกรณีที่ฉันน้อยใจแฟน!!!
- ยังมีอีกเยอะ เกี่ยวกับแม่ ที่พูดเท่าไหร่ก็ไม่หมด

ฉันเกิดมาในเวลาที่ครอบครัวลำบาก สั่นคลอนทุกสถานการณ์ ยามแม่ร้องไห้ ฉันยังไม่รู้ความดีนัก แต่ก็รับรู้ความเศร้า และมักจะนิ่งเงียบร่วมไว้อาลัยความเศร้าด้วยกันกับแม่อยู่บ่อยครั้ง
แม่มักแก้ปัญหาให้ฉันได้ถูกจุดเสมอ แต่ในปัญหาของแม่กับพ่อเองนั้น ทั้งแม่และพ่อเอง มักจะแก้ไขหรือก้าวข้ามไปได้อย่างยากลำบาก
บ่อยครั้งที่พ่อทะเลาะกับแม่ บ่อยครั้งความนิ่งเงียบของแม่ ก็สยบความเคลื่อนไหวของพ่อไม่ได้ แม้จะเห็นมันหลายครั้ง แต่ทุกวันนี้แม่ก็ยังอยู่กับพ่อ จะด้วยเหตุผลอันใดก็ตามแต่ ฉันรู้แค่ว่า ตอนนี้ครอบครัวของเรา มีความสุขก็ดีแล้ว พอแล้ว
ไม่รู้ว่าความรักต้องแสดงออกอย่างไร ฉันบอกรักเพื่อน หรือรักแฟนได้ แต่ฉันบอกคนใกล้ตัวที่สุด อย่างแม่ว่ารักไม่ได้ ไม่ใช่ไม่รักแม่นะ รักแม่มากสุดๆๆ ที่สุดๆๆๆ แต่บอกไม่ได้
ไม่ใช่อะไร ปกติไม่เคยบอก พอจะบอกมันก็เลยเขิน เท่านั้น (เอ่อ ปกติไม่มีแฟนไม่เคยบอกรัก พอมีและบอกรักทำไมไม่เขินละ เออจริงด้วย !!!)
วันแม่ปีนี้ ลูกเลี้ยงอย่างฉัน ได้อยู่กับแม่ ซื้อดอกมะลิ และเพลงของยอดรัก สลักใจ ให้แม่ได้-อย่างที่ไมโลทำไม่ได้-ฉันก็ดีใจมากแล้ว 555
สุดท้าย ฉันรักแม่มากที่สุดในโลกา

วนิดา แก่นจันทร์

Wednesday, May 7, 2008

โทรเลขปริศนา


โทรเลขปริศนา


วันที่ 30 เมษายน 51 เป็นวันที่ประเทศไทย มีการใช้บริการส่งข่าวสาร ที่เรียกว่า โทรเลข เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ใช้มานานกว่าร้อยปีแล้ว

ในวันที่ 30 เมษา 51 ที่ผ่านมา ฉันทำงานตามปกติ และไม่รู้ว่าโทรเลขจะหมดสิ้นไปจากเมืองไทยในวันนั้น มารู้อีกที ก็เวลาล่วงไปเที่ยงคืนกว่า อันเป็นวันใหม่แล้ว

ฉันบอกกับเพื่อน ตายละ ไม่รู้เรื่องเลย แต่ถึงรู้ อยากส่ง ก็คงไม่ได้ เพราะงานมี งานเข้า

หลังจากนั้น ฉันก้ไม่ได้ใส่ใจ หรืออาลัยอาวรณ์อะไรกับโทรเลข แน่ละ ฉันไม่เคยใช้ ไม่เคยเห็นหน้าตาของมันนี่นา

จนวันนี้ วันที่ 6 พฤษภาคม 2551 ฉันกลับมาห้อง หลังจากทำงานตามปกติ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น “โทรเลข” ผู้ใดส่งมากันเล่า แว่บแรก ป้าส่งมาแน่เลย

พอเปิดซอง ที่ไม่ได้ปิดผนึก เพียงแค่ใช้แม็คเย็บกระดาษ เย็บมามุมเดียวเท่านั้น แกะซองด้วยใจระทึก

ผ่าง ผ่าง

“เก็บความทรงจำดีๆไว้ตลอดไป”

ทาน 414

ใครว่ะ ทาน แล้วไอ้ 414 นี่มันอะไร



คิดสะระตะไปต่างๆนานา


เจ้าของห้องที่เราอยู่ตอนนี้ ไม่น่าใช่ มันจะมารู้ได้ไง ว่าตูชื่ออะไร


เพื่อนที่ออฟฟิศเก่า ไม่มีหรอก ใครไม่มีชื่อ ทาน


บลา บลา

ถ้าเช่นนั้น แล้วใครเล่าที่ส่งโทรเลขมาให้

แต่ยังไง ก็ขอขอบคุณ สำหรับโทรเลข ที่มันได้เป็นเพียงอดีตหน้าหนึ่ง ของการไปรษณีย์เมืองไทย ไปแล้ว

หลังจากเขียนบันทึกนี้แล้ว วันรุ่งขึ้น ฉันก็ได้รู้ความจริง (เว่อร์) จากเพื่อน ว่าคนที่ส่งโทรเลข เก็บความทรงจำดีๆไว้ตลอดไป นั้นเป็นใคร

เพื่อนคนนั้นก็คือ เมย์ ชนกภัทร วุฒิวราวรรณ นั่นเอง
ปล. กูเขียนชื่อมึงผิดป่าวว่ะ ไม่เคยเขียนชื่อนี้ มันไม่ชิน
รักมึงนะเว้ย
ขอบคุณมากๆๆ สำหรับโทรเลข ที่ทั้งชีวิตกู 24 ปี กับ 130 กว่าปีของโทรเลขไทย
กูไม่เคยได้รับเลย

จุ๊บๆๆ


Monday, April 28, 2008

แท็กซี่ใจดี



สวัสดีตัวฉันเอง
วันที่ 25 เมษายน 51เวลาประมาณ 21.00 น. หลังจากนั่งกินส้มตำ บลาๆ กับน้องดิว น้องปุ้ม-ปุ้ย เสร็จแล้ว ด้วยความเผ็ดเหลือแสนของส้มตำปลาร้า (ที่ฉันอุตส่าห์วงเล็บไว้ว่า ไม่เผ็ดค่ะ) ผลของความเผ็ดทำให้ฉันดื่มน้ำมากกว่าปกติ จากเหตุดังกล่าว เป็นเหตุให้ ฉันปวดฉี่ มั่กๆๆ หลังจากแยกย้ายกันกลับไปทางใครทางมัน 555+ ฉันยืนรอรถเมล์ 524 ที่ชอบไม่จอดเวลาฉันโบกรถ รออยู่นาน จำได้เลาๆว่า รถเมล์คันสุดท้ายที่ออกจากสนามหลวง จะออกตอนสามทุ่ม มองนาฬิกา ออกตอนสามทุ่ม จากสนามหลวงมาป้ายแบงค์ชาติ เบ็ดเสร็จ ไม่เกิน สามทุ่ม ยี่สิบนาที ระยะเวลากระชั้นเข้ามาแล้ว ฉันปวดฉี่ รถก็ยังไม่มา ในหัวฉันครุ่นคิด "ถ้าโบกแท็กซี่ เรียกไปหอเลยมันจะเร็วไหมว่ะ" คิดไปคิดมา เอาว่ะ โบกแท็กซี่คันแรก ฉันบอกจุดหมายปลายทางที่เขาต้องไปส่ง คนขับคิดพอเป็นพิธี พลันนั้นเองก็ส่ายหน้า เป็นคำตอบบอกฉันว่า "กูไม่ไป มันไกลสาดดด" โอเคไม่เป็นไร จากนั้น ในหัวฉันก็คิด "หรือกูจะรอรถเมล์ดีกว่า สาดดด ปวดฉี่โว๊ยยยย" บัดนี้ร่างกายมีอิทธิพลเหนืออำนาจของจิตใจ และกระเป๋าสตางค์ ฉันโบกแท็กซี่คันที่สอง บอกจุดหมายปลายทาง ในความมืด ฉันเห็นคนขับแท็กซี่หน้าโหดว่ะ คนขับใช้เวลาคิดไม่นาน ก็พยักหน้า โอเค ได้ไปแล้ว (รอดตาย)

ลุงคนขับถามว่า ให้ไปเส้นไหน ฉันบอกทางตามที่ฉันคุ้นเคย และลงท้ายย้ำว่า ไปทางไหนก็ได้ที่มันเร็วๆอ่ะค่ะ สิ้นเสียงฉัน ลุงแกบอกว่า ผมก็อยากเร็วเหมือนกันครับ รู้ไหมเพราะอะไร "ผมปวดฉี่" แม่เจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ยยยยย หนูก็ปวดเหมือนกันเลยค่ะ ลุงแกเล่าเสริมอีกว่า ฉันเป็นคนที่ 3 แล้วที่แกรับโดยสารมา แกก็อยากรีบเพราะปวดทนไม่ไหว รถขับไปเรื่อยๆ ลุงแกบอกจอดปั้มดีกว่า ดีไหม ฉันพยักหน้าหงึกๆๆ ดีมั่กๆเลยค่ะ รถแท็กซี่จอดปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง ลุงบอกผลัดกันเข้านะ แต่ต้องอยู่ในรถ อย่าทิ้งรถไว้เฉยๆ แกให้ฉันเข้าก่อน พอฉันปลดระเบิดที่แขวนอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเสร็จแล้ว ก็รีบเดินมาที่รถ ครั้งนี้ลุงจะไปปลดระเบิดบ้าง แกบอกอย่าให้ใครมาขับรถไปนา (ใครจะปล่อยให้มันขับไปละคร๊าบ) ว่าแต่ลุงกลัวคนอื่น ลุงไม่กลัวหนูขับรถลุงไปเรอะ 555+ ฉันถามว่าล็อกรถไว้ไม่ได้เหรอ (ในใจคิด ถ้าลุงมึนดับเครื่องรถ ก็เสร็จโจร ค่ารถคิดใหม่) แต่ลุงไม่มึนไง แกก็บอกวิธีล็อกและเปิดประตูรถให้ฉัน พอแกกลับมา ฉันเปิดประตูให้ได้ แกบอก "เอ้ออ ทำเป็นแล้วนี่" !?!? หลังจากขับออกมาจากปั้ม เราสองคนก็คุยกันไปเรื่อย 555 ลุงเปิดประเด็นถามฉันทำงานอะไร ฉันก็บอกทำงานหนังสือนะฮ๊า ลุงไม่เคยอ่านหนังสือที่ฉันทำด้วยแหละ 555 หลังจากนั้นแกก็เล่าเรื่องลูกสาวแก ยาวไปถึงเรื่องมง เมีย ไอ้ฉันก็ชอบคุยไง ลุงเปิดประเด็น ฉันก็ต้องต่อ คุยกับไปคุยกับมา ลุงแกก็พูดถึงการใช้ชีวิตของลูกผู้หญิง เรื่องหาคู่ครอง (อันนี้บอกเหมือนพ่อฉันเลย) แกก็บอกเป็นลูกผู้หญิงอย่ากลับดึกดื่นนะ บลาๆ ยาวไปๆ คุยกันไปจนถึงหอ แกยังตบท้าย "จำไว้นา ลูกผู้หญิง จะหาคู่ครอง ต้องดูนานๆ" ฉันเล่าให้เพื่อนรูมเมทฟัง มันก็ว่า โชคดีเจอแท็กซี่ใจดี ซึ่งฉันก็เห็นด้วย นอกจากฉันจะเจอคนใจดีแล้ว ฉันยังได้ความประทับใจกลับมาอีกด้วย อย่างน้อย แท็กซี่ก็มีดี และมีชั่วนะ คุณลุงบัลลัง หนูจะจำคุณลุงไปจนแก่เลยค่ะ ขอให้ลุงโชคดีนะคะ