Friday, August 15, 2008

แม่ของวนิดา



พ่อแม่ของของแต่ละครอบครัวก็คงมีนิสัยที่แตกต่างกันออกไป แม่ของบางท่านอาจเป็นคนไม่ฟังเหตุผลใคร ชอบบังคับจิตใจลูก หรืออาจเลี้ยงลูกด้วยเงิน แม้แม่ของบางท่านจะเป็นเช่นนั้น แต่เชื่อไว้เถอะว่า แม่ทำไปก็เพราะรัก และแม่มีเหตุผลของแม่เองที่ลูกๆมักไม่เข้าใจ
ไม่รู้ว่าแม่ของฉัน-นางสาววนิดา แก่นจันทร์- เหมือนกับแม่ของท่านอื่นๆไหม แต่แม่ก็คือแม่ แม่ที่เรียก ไมโล แมวรักสามัญประจำครอบครัวว่าลูกชาย พร้อมลดตำแหน่งให้ฉันกับน้องเสร็จสรรพ เป็นได้แค่ลูกเลี้ยง!!! ในทันที
มองดูแม่ตั้งแต่ฉันเกิด จำความได้ จนถึงอายุเท่านี้ แม่ยังเหมือนเดิม เหมือนเดิมยังไงมาดูกัน
- ลูกอยากได้อะไร แม้ตอนแรกแม่จะบอกว่า ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็หามาให้ลูกจนได้ แม้ต้องเป็นหนี้ (กรณีศึกษา ตอนฉันและน้องยังเป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน)
- ลูกอยากเรียนอะไร แม้แม่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ แม่ก็ “สุดๆไปเลยลูก” (กรณีศึกษา ตอนฉันและน้องเลือกคณะและมหาวิทยาลัย)
- ลูกอยากอ่านอะไร แม้แม่จะบอกว่า “การ์ตูน กับหนังสือ เลิกซื้อไปได้แล้ว” อยู่บ่อยๆ แต่สุดท้าย แม่นั่นแหละที่เป็นคนไปซื้อหนังสือ หรือการ์ตูนนั้นๆมาเก็บไว้ รอให้ลูกอ่าน (กรณีศึกษา แม่ซื้อนิตยสาร A day เก็บไว้ให้ฉัน ซื้อนิตยสารสำหรับคอมพิวเตอร์ เอาไว้ให้น้อง และแม่จำได้ว่านิตยสาร Pulp แต่ก่อนเป็นเล่มใหญ่)
- ลูกมีแฟนเป็นผู้หญิง แม่ชิลล์ๆ แถมยังบอกอีกว่า “มีแฟนเป็นผู้หญิงก็ดีนะ มีอะไรกันจะได้ไม่ท้อง” ตึก ตึก โป๊ะ!!! (กรณีศึกษา ตลอด 6 ปีที่ชีวิตฉันอยู่กับโรงเรียนสตรีล้วน และแว่บนึงตอนมีแฟนผู้หญิงสมัยเรียนมหา’ลัย)
- ลูกจะมีแฟนแม่ไม่ว่า (กรณีศึกษา ฉันมีแฟนแม่บอกอย่าท้อง และน้องชายมีแฟน แม่บอกอย่าไปทำผู้หญิงท้องนะ !?!?)
- ตอนมัธยม เคยลองมีความลับกับแม่ดูบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ปิดไม่มิดหรือแม่มีญาณวิเศษก็ไม่ทราบ แม่รู้ทุกเรื่องที่ฉันไม่ได้บอก แน่นอนแม่ก็ไม่เคยจ้างนักสืบที่ไหนมาเฝ้าดูฉันด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้เวลามีอะไร ก็เล่าให้แม่ฟังทุกครั้ง เรื่องเรียน เพื่อน หรือที่ทำงาน
- แม่รู้นิสัยของฉันทุกกระเบียดนิ้ว มองออกทะลุปรุโปร่งจนฉันตัวบางเฉียบ แม่บอกให้ฉันเลิกเอาแต่ใจ อย่าคิดมาก ทำตัวนิ่งๆไว้ และกำชับไว้อีกว่า “เอ็งเชื่อแม่แล้วจะดีเอง” ในกรณีที่ฉันน้อยใจแฟน!!!
- ยังมีอีกเยอะ เกี่ยวกับแม่ ที่พูดเท่าไหร่ก็ไม่หมด

ฉันเกิดมาในเวลาที่ครอบครัวลำบาก สั่นคลอนทุกสถานการณ์ ยามแม่ร้องไห้ ฉันยังไม่รู้ความดีนัก แต่ก็รับรู้ความเศร้า และมักจะนิ่งเงียบร่วมไว้อาลัยความเศร้าด้วยกันกับแม่อยู่บ่อยครั้ง
แม่มักแก้ปัญหาให้ฉันได้ถูกจุดเสมอ แต่ในปัญหาของแม่กับพ่อเองนั้น ทั้งแม่และพ่อเอง มักจะแก้ไขหรือก้าวข้ามไปได้อย่างยากลำบาก
บ่อยครั้งที่พ่อทะเลาะกับแม่ บ่อยครั้งความนิ่งเงียบของแม่ ก็สยบความเคลื่อนไหวของพ่อไม่ได้ แม้จะเห็นมันหลายครั้ง แต่ทุกวันนี้แม่ก็ยังอยู่กับพ่อ จะด้วยเหตุผลอันใดก็ตามแต่ ฉันรู้แค่ว่า ตอนนี้ครอบครัวของเรา มีความสุขก็ดีแล้ว พอแล้ว
ไม่รู้ว่าความรักต้องแสดงออกอย่างไร ฉันบอกรักเพื่อน หรือรักแฟนได้ แต่ฉันบอกคนใกล้ตัวที่สุด อย่างแม่ว่ารักไม่ได้ ไม่ใช่ไม่รักแม่นะ รักแม่มากสุดๆๆ ที่สุดๆๆๆ แต่บอกไม่ได้
ไม่ใช่อะไร ปกติไม่เคยบอก พอจะบอกมันก็เลยเขิน เท่านั้น (เอ่อ ปกติไม่มีแฟนไม่เคยบอกรัก พอมีและบอกรักทำไมไม่เขินละ เออจริงด้วย !!!)
วันแม่ปีนี้ ลูกเลี้ยงอย่างฉัน ได้อยู่กับแม่ ซื้อดอกมะลิ และเพลงของยอดรัก สลักใจ ให้แม่ได้-อย่างที่ไมโลทำไม่ได้-ฉันก็ดีใจมากแล้ว 555
สุดท้าย ฉันรักแม่มากที่สุดในโลกา

วนิดา แก่นจันทร์

Wednesday, May 7, 2008

โทรเลขปริศนา


โทรเลขปริศนา


วันที่ 30 เมษายน 51 เป็นวันที่ประเทศไทย มีการใช้บริการส่งข่าวสาร ที่เรียกว่า โทรเลข เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่ใช้มานานกว่าร้อยปีแล้ว

ในวันที่ 30 เมษา 51 ที่ผ่านมา ฉันทำงานตามปกติ และไม่รู้ว่าโทรเลขจะหมดสิ้นไปจากเมืองไทยในวันนั้น มารู้อีกที ก็เวลาล่วงไปเที่ยงคืนกว่า อันเป็นวันใหม่แล้ว

ฉันบอกกับเพื่อน ตายละ ไม่รู้เรื่องเลย แต่ถึงรู้ อยากส่ง ก็คงไม่ได้ เพราะงานมี งานเข้า

หลังจากนั้น ฉันก้ไม่ได้ใส่ใจ หรืออาลัยอาวรณ์อะไรกับโทรเลข แน่ละ ฉันไม่เคยใช้ ไม่เคยเห็นหน้าตาของมันนี่นา

จนวันนี้ วันที่ 6 พฤษภาคม 2551 ฉันกลับมาห้อง หลังจากทำงานตามปกติ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น “โทรเลข” ผู้ใดส่งมากันเล่า แว่บแรก ป้าส่งมาแน่เลย

พอเปิดซอง ที่ไม่ได้ปิดผนึก เพียงแค่ใช้แม็คเย็บกระดาษ เย็บมามุมเดียวเท่านั้น แกะซองด้วยใจระทึก

ผ่าง ผ่าง

“เก็บความทรงจำดีๆไว้ตลอดไป”

ทาน 414

ใครว่ะ ทาน แล้วไอ้ 414 นี่มันอะไร



คิดสะระตะไปต่างๆนานา


เจ้าของห้องที่เราอยู่ตอนนี้ ไม่น่าใช่ มันจะมารู้ได้ไง ว่าตูชื่ออะไร


เพื่อนที่ออฟฟิศเก่า ไม่มีหรอก ใครไม่มีชื่อ ทาน


บลา บลา

ถ้าเช่นนั้น แล้วใครเล่าที่ส่งโทรเลขมาให้

แต่ยังไง ก็ขอขอบคุณ สำหรับโทรเลข ที่มันได้เป็นเพียงอดีตหน้าหนึ่ง ของการไปรษณีย์เมืองไทย ไปแล้ว

หลังจากเขียนบันทึกนี้แล้ว วันรุ่งขึ้น ฉันก็ได้รู้ความจริง (เว่อร์) จากเพื่อน ว่าคนที่ส่งโทรเลข เก็บความทรงจำดีๆไว้ตลอดไป นั้นเป็นใคร

เพื่อนคนนั้นก็คือ เมย์ ชนกภัทร วุฒิวราวรรณ นั่นเอง
ปล. กูเขียนชื่อมึงผิดป่าวว่ะ ไม่เคยเขียนชื่อนี้ มันไม่ชิน
รักมึงนะเว้ย
ขอบคุณมากๆๆ สำหรับโทรเลข ที่ทั้งชีวิตกู 24 ปี กับ 130 กว่าปีของโทรเลขไทย
กูไม่เคยได้รับเลย

จุ๊บๆๆ


Monday, April 28, 2008

แท็กซี่ใจดี



สวัสดีตัวฉันเอง
วันที่ 25 เมษายน 51เวลาประมาณ 21.00 น. หลังจากนั่งกินส้มตำ บลาๆ กับน้องดิว น้องปุ้ม-ปุ้ย เสร็จแล้ว ด้วยความเผ็ดเหลือแสนของส้มตำปลาร้า (ที่ฉันอุตส่าห์วงเล็บไว้ว่า ไม่เผ็ดค่ะ) ผลของความเผ็ดทำให้ฉันดื่มน้ำมากกว่าปกติ จากเหตุดังกล่าว เป็นเหตุให้ ฉันปวดฉี่ มั่กๆๆ หลังจากแยกย้ายกันกลับไปทางใครทางมัน 555+ ฉันยืนรอรถเมล์ 524 ที่ชอบไม่จอดเวลาฉันโบกรถ รออยู่นาน จำได้เลาๆว่า รถเมล์คันสุดท้ายที่ออกจากสนามหลวง จะออกตอนสามทุ่ม มองนาฬิกา ออกตอนสามทุ่ม จากสนามหลวงมาป้ายแบงค์ชาติ เบ็ดเสร็จ ไม่เกิน สามทุ่ม ยี่สิบนาที ระยะเวลากระชั้นเข้ามาแล้ว ฉันปวดฉี่ รถก็ยังไม่มา ในหัวฉันครุ่นคิด "ถ้าโบกแท็กซี่ เรียกไปหอเลยมันจะเร็วไหมว่ะ" คิดไปคิดมา เอาว่ะ โบกแท็กซี่คันแรก ฉันบอกจุดหมายปลายทางที่เขาต้องไปส่ง คนขับคิดพอเป็นพิธี พลันนั้นเองก็ส่ายหน้า เป็นคำตอบบอกฉันว่า "กูไม่ไป มันไกลสาดดด" โอเคไม่เป็นไร จากนั้น ในหัวฉันก็คิด "หรือกูจะรอรถเมล์ดีกว่า สาดดด ปวดฉี่โว๊ยยยย" บัดนี้ร่างกายมีอิทธิพลเหนืออำนาจของจิตใจ และกระเป๋าสตางค์ ฉันโบกแท็กซี่คันที่สอง บอกจุดหมายปลายทาง ในความมืด ฉันเห็นคนขับแท็กซี่หน้าโหดว่ะ คนขับใช้เวลาคิดไม่นาน ก็พยักหน้า โอเค ได้ไปแล้ว (รอดตาย)

ลุงคนขับถามว่า ให้ไปเส้นไหน ฉันบอกทางตามที่ฉันคุ้นเคย และลงท้ายย้ำว่า ไปทางไหนก็ได้ที่มันเร็วๆอ่ะค่ะ สิ้นเสียงฉัน ลุงแกบอกว่า ผมก็อยากเร็วเหมือนกันครับ รู้ไหมเพราะอะไร "ผมปวดฉี่" แม่เจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ยยยยย หนูก็ปวดเหมือนกันเลยค่ะ ลุงแกเล่าเสริมอีกว่า ฉันเป็นคนที่ 3 แล้วที่แกรับโดยสารมา แกก็อยากรีบเพราะปวดทนไม่ไหว รถขับไปเรื่อยๆ ลุงแกบอกจอดปั้มดีกว่า ดีไหม ฉันพยักหน้าหงึกๆๆ ดีมั่กๆเลยค่ะ รถแท็กซี่จอดปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง ลุงบอกผลัดกันเข้านะ แต่ต้องอยู่ในรถ อย่าทิ้งรถไว้เฉยๆ แกให้ฉันเข้าก่อน พอฉันปลดระเบิดที่แขวนอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเสร็จแล้ว ก็รีบเดินมาที่รถ ครั้งนี้ลุงจะไปปลดระเบิดบ้าง แกบอกอย่าให้ใครมาขับรถไปนา (ใครจะปล่อยให้มันขับไปละคร๊าบ) ว่าแต่ลุงกลัวคนอื่น ลุงไม่กลัวหนูขับรถลุงไปเรอะ 555+ ฉันถามว่าล็อกรถไว้ไม่ได้เหรอ (ในใจคิด ถ้าลุงมึนดับเครื่องรถ ก็เสร็จโจร ค่ารถคิดใหม่) แต่ลุงไม่มึนไง แกก็บอกวิธีล็อกและเปิดประตูรถให้ฉัน พอแกกลับมา ฉันเปิดประตูให้ได้ แกบอก "เอ้ออ ทำเป็นแล้วนี่" !?!? หลังจากขับออกมาจากปั้ม เราสองคนก็คุยกันไปเรื่อย 555 ลุงเปิดประเด็นถามฉันทำงานอะไร ฉันก็บอกทำงานหนังสือนะฮ๊า ลุงไม่เคยอ่านหนังสือที่ฉันทำด้วยแหละ 555 หลังจากนั้นแกก็เล่าเรื่องลูกสาวแก ยาวไปถึงเรื่องมง เมีย ไอ้ฉันก็ชอบคุยไง ลุงเปิดประเด็น ฉันก็ต้องต่อ คุยกับไปคุยกับมา ลุงแกก็พูดถึงการใช้ชีวิตของลูกผู้หญิง เรื่องหาคู่ครอง (อันนี้บอกเหมือนพ่อฉันเลย) แกก็บอกเป็นลูกผู้หญิงอย่ากลับดึกดื่นนะ บลาๆ ยาวไปๆ คุยกันไปจนถึงหอ แกยังตบท้าย "จำไว้นา ลูกผู้หญิง จะหาคู่ครอง ต้องดูนานๆ" ฉันเล่าให้เพื่อนรูมเมทฟัง มันก็ว่า โชคดีเจอแท็กซี่ใจดี ซึ่งฉันก็เห็นด้วย นอกจากฉันจะเจอคนใจดีแล้ว ฉันยังได้ความประทับใจกลับมาอีกด้วย อย่างน้อย แท็กซี่ก็มีดี และมีชั่วนะ คุณลุงบัลลัง หนูจะจำคุณลุงไปจนแก่เลยค่ะ ขอให้ลุงโชคดีนะคะ

Tuesday, January 1, 2008

ชีวิตปี 50

สรุปชีวิตปี 50

การเงิน
ลุ่มๆดอนๆ 555

การงาน
หลังจากบ.ผลิตรายการโทรทัศน์ที่ฉันเคยทำ เจอพิษเศรษฐกิจบ.ปลดพนักงานออก แน่นอนรวมทั้งฉันด้วย ตกงานอยู่เดือนนึง ก็ได้งานที่ใหม่ ทำนิตยสาร ทำหนังสืออย่างที่หวังไว้ >_< จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ฉันก็ทำงานหนังสือที่รัก มา 8 เดือนแล้ว เพื่อนฉันคนนึงที่ทำงานหนังสือเหมือนกัน บอกว่า ทำหนังสือนี่มันบั่นทอนสุขภาพร่างกายดีฉิบหาย ใช่ เห็นด้วย เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะงานมันไม่มีเวลาพักไง จะบอกว่ายังไงดี คือพอปิดเล่มปุ๊บ ให้ฝ่ายอาร์ตไปจัดหน้า กองบก.ก็ต้องเตรียมข้อมูลทำต้นฉบับของเล่มต่อไปทันที พร้อมกับทำหน้าที่ตรวจต้นฉบับที่เขาจัดหน้าเส็ดแล้วพร้อมๆกันไปด้วย งานบางครั้งก็เขียนไม่ออก ต้องเอากลับมาเขียนที่ห้อง เพราะไม่มีสมาธิ ร้อยแปดสิ่งที่บั่นทอนร่างกายแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยอมทำนะ เพราะฉันรักงานหนังสือนี่นาเพื่อนฉันคนนึงบันทึกไว้ว่า คนเรามักตายเพราะสิ่งที่ชอบ สำหรับฉันคงตายเพราะงานหนังสือ ตายเพราะไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่ใช่ฉันไม่รักตัวเอง เลยไม่พักผ่อน แต่เพราะฉันมีความสุขเมื่อทำในสิ่งที่รัก-งานหนังสือไง ถ้าฉันจะตายเพราะมัน ฉันก็ยอม

ความรัก
สุข เศร้า เหงา มีครบทุกรสทำไมนะ เวลาที่เรามีความสุข มีความรัก มันมักจะอยู่กับเราไม่นานสรุปความรัก มันก็นะ สำหรับฉันมันเป้นความทรงจำดีๆ บางครั้งก็คิด อยู่คนเดียวเป้นโสดมันก็ดี แต่บางเวลา บางห้วงอารมณ์ มันก็เหงา เหมือนใน รักแห่งสยาม ที่บอกว่า "...ความเหงามันเหี้ยใส่เรา..." ตอนนี้ความเหงามันเหี้ยใส่ฉัน เพื่อนคนนึงบันทึกไว้ว่า ในโลก hi5 มันก็ดี เพื่อนเยอะ แต่มันก็จับต้องไม่ได้ ตอนนี้ฉันเริ่มเห็นด้วยแล้ว แต่อีกความหมายหนึ่งของ hi5 มันทำให้เราได้เจอ พบ ดู เพื่อนใหม่ๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเพื่อนเก่า ที่หายหน้ากันไปนานของเรานั่นเอง

ชีวิตในปี 51
1. ฉันจะไม่ขี้เกียจ ไม่ผลัดวันประกันพุ่ง
2. ฉันต้องอัพเกรดความรู้ของตัวเอง เพราะฉันยังโง่ในหลายๆเรื่องอยู่เลย
3. ฉันต้องทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน เพื่อนคนนึงของฉันบอกว่า อีก 3 ปีกูก็อายุ 28 แล้ว แต่ยังไม่มีเหี้ยอะไรเลย ปีหน้าคงต้องมุ่งมั่นกว่านี้แล้ว ใช่ เห็นด้วย ปี 51 ที่จะถึง ฉันก็อายุ 24 แต่ฉันยังเป็นเด็กน้อย ขอเงินแม่พ่ออยู่เลย เพราะฉะนั้นฉันต้องเริ่งทำตั้งแต่ข้อ 1. ให้ได้โดยเร็ว

สุดท้าย
ขอให้เพื่อนใน hi5 ทุกคน และเพื่อนทั่วโลกที่มีชีวิตอยู่ร่วมทศวรรษเดียวกัน บังเกิดแต่ความสุข ความสำเร็จ...
Happy New Year 2008